วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เผ่าซูลู [น.ส.นภัสวรรณ No.10 M.5/6]

ไฟล์:ZuluWarriors.jpg

ซูลู (อังกฤษ: Zulu - ภาษาอังกฤษอัฟริกาใต้) เป็นชนเผ่ากลุ่มหนึ่งของแอฟริกา มีจำนวนประชากรประมาณ 11 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่อาศัยในควาซูลู-นาตาล แอฟริกาใต้ มีจำนวนเล็กน้อยที่อยู่อาศัยในซิมบับเว แซมเบียและโมแซมบีก ภาษาอีซิซูลู (isiZulu) เป็นสาขาหนึ่งของภาษาบันตู (Bantu) ซึ่งจัดอยู่ในภาษาลุ่มย่อย "นูนิ" (Nguni)

ราชอาณาจักรซูลูมีบทบาทสำคัญมากในประวัติศาสตร์ของประเทศแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2344 - พ.ศ. 2444 (คริสต์ศตวรรษที่ 19Th-20th) ในยุคแห่งการถือผิว ชาวซูลูถูกจัดให้เป็นประชาชนชั้น 2 และถูกดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง ปัจจุบันชาวซูลูเป็นชนเผ่าที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศแอฟริกาใต้และมีสิทธิเสรีภาพแห่งมนุษยชนเท่าเทียมกับประชาชนทุกเชื้อชาติและชนเผ่าในประเทศ

รกรากเดิม

แต่เดิมซูลู เป็นชนเผ่ากลุ่มน้อยที่อยู่ในตอนเหนือของควาซูลู-นาทาลปัจจุบัน ได้สถาปนาตนเองเป็นราชอาณาจักรขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2330 โดยซูลู คานโตมบฮีลี (Zulu kaNtombhele) ในภาษาซูลู คำว่า "ซูลู" แปลว่าสวรรค์ หรือท้องฟ้า ในสมัยนั้น พื้นที่ถูกครอบครองโดยชนเผ่าเล็กที่เรียกว่า "นูนิ" หลายกลุ่ม พวกนูนิได้ย้ายถิ่นฐานลงมาทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกามากกว่าพันปีมาแล้ว อาจเป็นไปได้ที่ได้มาถึงบริเวณที่เป้นประเทศแอฟริกาใต้ในปัจจุบันเมื่อประมาณ 800 ปี ก่อนคริสต์ศักราช หรือประมาณ 2800 ปีก่อน

ราชอาณาจักร

การเกิดของราชอาณาจักรซูลูภายใต้ "ชากา"

ซูลูชากาเป็นโอรสนอกสมรสของพระเจ้า "เชนซานกาโนมา" กษัตริย์เผ่าซูลู เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 2330 ชากาและพระมารดาถูกเนรเทศโดยเชนซานกาโนมา และไปลี้ภัยอยูใน "มเธทวา"(Mthethwa) ชากาได้ฝึกการสู้รบเพื่อเป็นนักรบภายใต้ "ดิงกิสวาโย" (Dingiswayo) หัวหน้าเผ่ามเธวา เมื่อเชนซานกาโนมาถึงแก่พิราลัย ดิงกิสวาโยจึงช่วยหนุนให้ชากาทวงสิทธิ์การเป็นกษัตริย์ของราชอาณาจักรซูลู

การขึ้นสู่บรรลังก์อันโชกเลือดของ "ดิงกาเน" (Dingane)

ดิงกาเน พระอนุชาต่างพระมารดาได้สืบทอดราชบรรลังก์ต่อจากชากาโดยสมรู้ร่วมคิดกับ "มลางกานา" (Mhlangana) โอรสต่างพระมารดาอีกผู้หนึ่งเพื่อลอบปลงพระชนม์ หลังการปลงพระชนม์แล้ว ดิงกาเนก็ประหารชีวิตมลางกานาแล้วขึ้นครองบรรลังก์ พระราชกรณียกิจแรกๆ ของพระองค์คือการประหารชีวิตพระราชวงศ์เป็นจำนวนมากเพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน ยกเว้น"มพันเด" (Mpande) พระอนุชาต่างพระมารดาอีกพระองค์หนึ่งซึ่งอ่อนแอไม่มีอันตรายในขณะนั้น

การประทะกับ "วูเทรกเกอส์" (Voortrekkers) กับการขึ้นสู่บรรลังก์ของ มพันเด

ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2380 ปิเอต์ รีทีฟ หัวหน้าพวกวูเทรกเกอรส์ (นักบุกเบิกดินแดนแอฟริกา) ได้ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าดิงกาเนที่พระตำหนักเพื่อเจรจาต่อรองเกี่ยวกับที่ดินของนักบุกเบิก และในเดือนพฤศจิกายน คาราวานเกวียนประมาณ 1,000 เล่มของพวกวูเทกเกอร์ได้เดินทางลงจากเขาดราเก็นสเบอร์ก จาก "ออเนจ์ฟรีสเตท" มาสู่ดินแดนซึ่งเป็แคว้นควาซุลู-นาทาล ในปัจุบัน

พระเจ้าดิงนาเกขอให้รีทรีฟและชาวคณะให้ช่วยนำฝูงปสุสัตว์ที่หัวหน้าเผ่าในบริเวณนั้นลักไปมาคืนให้ และรีทรีฟก็ได้รีบทำตามและส่งคืนให้ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2381 และในวันรุ่งขึ้นก็ได้มีการลงนามในข้อตกลงโดยพระเจ้าดิงกาเนยอมมอบดินแดนฝั่งใต้ทั้งหมดของแม่น้ำ "ตูเลกา" จดกับแม่น้ำ "ซิมวูบุ" ให้แก่ชาววูเทรกเกอร์ การเฉลิมฉลองได้ตามมาโดยในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ คณะของรีทรีฟได้รับเชิญให้ร่วมเต้นระบำร่วมกันโดยให้วางอาวุธไว้ข้างหลัง ในขณะที่การร่ายรำกำลังสนุกถึงที่ ดิงเนเกได้ลุกขึ้นยืนกระโดดและตระโกนว่า "แบมบานิ อบา ทาคาติ" (ภาษาซูลูแปลว่า "ฆ่าพวกพ่อมด") รีทรีฟและพวกถูกจับตัวและนำไปประหารที่เนินเขาคามาติวาเน เป็นที่เชื่อกันว่าเหตุผลรีทรีฟและพวกถูกฆ่านั้นเนื่องมาจากการยักยอกไม่คืนวัวที่เรียกคืนมาให้ครบทั้งหมด ทหารของดิงกาเนได้โจมตีและฆ่าพวกวูเทกเกอร์รวมทั้งเด็กและสตรีไปประมาณ 500 คน บริเวณที่เกิดเหตูการณ์นี้ในปัจจุบันเรียกว่า "วีเนน" (ภาษาดัทช์แปลว่า "การร่ำไห้)

ชาววูเทกเกอร์ที่เหลือได้เลือกหัวหน้าใหม่ชื่อ แอนเดรียร์ส เปรโตรเรียส (Andries pretorius) และพระเจ้าดิงนาเกประสบกับการพ่ายแพ้ใน "การสู้รบแห่งแม่น้ำสายเลือด" เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2381 โดยการนำของกลุ่มนักสู้ 470 คนของนักบุกเบิกวูเทกเกอร์ที่เหลือที่นำโดยเปรโตรเรียส

หลังจากการพ่ายแพ้พระเจ้าดิงกาเนก็เผาพระตำหนักและอาคารบ้านเรือนหนีไปทางเหนือ มพันเด พระอนุชาต่างพระมารดาซึ่งได้รับการไว้ชีวิตจากพระอนุชาได้รวบรวมชนเผ่าพรรคพวกจำนวน 17,000 คน ร่วมกับเปรโตเรียสและพวกวูเทกเกอร์ไล่ล่าทำสงครามกับพระเจ้าดิงกาเน ซึ่งในที่สุดก็ถูกปลงพระชนม์ที่ชายเขตแดนสวาซิแลนด์ปัจจุบัน มพันเดจึงได้ขึ้นสู่บรรลังเป็นประมุขของชาติซูลูสืบต่อมา

การขึ้สู่บัลลังก์ของพระเจ้าเคตช์วาโย

สืบเนื่องต่อจากการสู้รบกับดิงกาเน ในปี พ.ศ. 2382 ชาวอาณานิคมวูเทกเกอร์นำโดยเปรโตเรียสได้ก่อตั้ง "สาธารณรัฐบัวร์" แห่งนาตาเลียซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทางใต้ของแม่น้ำตูเกลากับด้านตะวันตกของอาณานิคมอังกฤษที่ปอร์ตนาทาล (ปัจจุบันคือดุร์บาน) พระเจ้ามพันเดและเปรโตเรียสยังคงมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันอยู่ อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2385 ได้เกิดสงครามระหว่างพวกบัวร์กับอังกฤษ มีผลให้อังกฤษผนวกนาตาเลียเข้าไว้ในอาณานิคม เป็นเหตุให้พระเจ้ามพันเดหันจำต้องไปเข้ากับฝ่ายอังกฤษและก็ได้มีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน

ในปี พ.ศ. 2386 พระเจ้ามพันเดได้สั่งกำจัดพวกที่ถูกเข้าใจว่าเป็นอริในราชอาณาจักรของพระองค์ทำให้เกิดการเสียชีวิตมากมาย มีการอพยพลี้ภัยไปสู่ประเทศข้างเคียงรวมทั้งอาณานิคมนาทาลที่อยู่ในบังคับอังกฤษ พวกอพยพเหล่านี้หนีไปพร้อมกับฝูงปสุสัตว์ พระเจ้ามพันเดจึงสั่งกวาดล้างพื้นที่ข้างเคียงจนถึงจุดสูงสุดกลายเป็นการรุกรานสวาซีแลนด์ในปีพ.ศ. 2385 แต่ฝ่ายอังกฤษก็ใช้อิทธิพลกดดันให้มพันเดถอยออกไป ซึ่งพระองค์ก็ทำตามโดยดีในเวลาไม่ยาน

ถึงตอนนี้สงครามแย่งชิงบรรลังก์ได้เกิดขึ้นระหว่างพระโอรสสองพระงค์ของพระเจ้ามพันเด คือ เคตช์วาโย กับ มบูยาซี เหตุการณ์ถึงขีดสุดเมือ่ปี พ.ศ. 2395 ด้วยการสู้รบและการตายของมบูยาซ๊ จากนั้นเคตช์วาโย ก็ค่อยๆ ยึดอำนาจการบริหารจากพระราชบิดา เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์ด้วยโรคชราเมื่อ พ.ศ. 2415 เคตช์วาโย ก็เสด็จขึ้นครองราชย์


ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8B%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%B9



"วันวาเลน์ไทน์นี้ ให้อะไรเป็นของจวัญคนรู้ใจ" <นส.พรนภา กุลประดิษฐ์ ม.5/6 เลขที่16>

วันวาเลน์ไทน์ที่ใก้ลจะมาถึงนี้ เพื่อนๆคิดกันหรือยังว่าจะให้อะไรกับคนรู้ใจดี ถ้ายังคิดไม่ออก ?
เราไปดูพร้อมๆกันดีกว่า ว่าเราจะเลือกอะไรที่ดีที่สุดให้เขาดี


1. ดอกกุหลาบ



กุหลาบ

จะกี่ยุคกี่สมัย "ดอกกุหลาบ" ก็ยังครองแชมป์ของขวัญยอดฮิตวันวาเลนไทน์ โดยเฉพาะ"กุหลาบสีแดง" สาวคนไหนได้รับ มีแต่จะยิ้มแก้มปริ และยอมเปิดหัวใจให้หนุ่มๆ เข้ามานอนกลิ้งเกลือกไม่โยเย!! ถ้าเป็นหนุ่มจริงใจ...รักจริงหวังแต่ง ไม่เจ้าชู้ มักจะเลือก "กุหลาบสีขาว" แทนคำบอกรัก สื่อถึงความบริสุทธิ์และจริงใจสุดๆ
จำนวนดอกกุหลาบ และ ความหมาย ที่แสนจะโรแมนติค
1 = เธอเป็นหนึ่งเดียวของฉันเท่านั้น
2 = มีเพียงเธอ กับ ฉัน
3 = ฉันรักเธอ
5 = การให้ที่ไม่มีอะไรต้องเสียใจ
7 = เราจะพบกับเรื่องมงคล
8 = ชดเชยวันเวลาที่ขาดหายไป
9 = อยู่ด้วยกันให้ยืนยาวและมั่นคง
11 = รักเธอที่สุด
12 = ฉันรักเธอ เธอก็รักฉัน เรารักกัน
24 = ฉันคิดถึงเธอตลอดเวลา
33 = รักกัน 3 ชาติ
50 = ความรักที่ยืนยาวชั่วนิรันดร
66 = ความรักของเรา เหมือนสายน้ำไม่เคยหยุดนิ่ง
100 = เราจะถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรด้วยกัน
101 = รักเรายืนยาวชั่วนิรันดร
108 = ความรักของฉันจะไม่มีที่สิ้นสุด
365 = ฉันคิดถึงเธอทุก-ทุกวัน
999 = รักเธอชั่วฟ้าดินสลาย
1,009 = ฉันรักเธอเพราะเธอเป็นเธอ
9,999 = แทนความจริงใจทั้งหมดที่ฉันมีให้เธอจากนี้และตลอดไป
10,000 = รักเธอเป็นหมื่น-หมื่นปี

2. ช็อกโกแลต



นักจิตวิทยาหลายคนเชื่อว่า ช็อกโกแลตเป็นตัวช่วยเสริมอารมณ์รัก และรสชาติความหวานก็เป็นสิ่งที่แทนความรู้สึกวันแห่งความรักได้อย่างดี และยังมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าในช็อกโกแลตมีสารช่วยกระตุ้นสมองโดยออกฤทธิ์คล้ายแอมเฟตามีน เป็นตัวเบิกทางความรู้สึกลึก ๆ แห่งรักได้ดี

อย่างไรก็ตาม การให้ช็อกโกแลตก็สามารถบ่งบอกนิสัยใจคอผู้ให้ได้ด้วย ถ้าให้...

"ช็อกโกแลตมินต์" แสดงว่า เป็นคนเปิดเผย ตรงไปตรงมา และมีความคิดสร้างสรรค์

"ช็อกโกแลตนม" เป็นคนโรแมนติก คุยสนุก แต่ชอบทำตัวเด่น

"ช็อกโกแลตสอดไส้" เป็นคนปาร์ตี้ ชอบสังคม ใจดี

"ดาร์ค ช็อกโกแลต" หมายความว่า คุณเจอคนใจร้อนเข้าแล้ว ประเภทรักง่ายติดไฟเร็วซะงั้น


3.การด์



ถึงจะดูไม่แพง ไม่หรู แต่ก็ดูจริงใจ อันนี้เป็นของจําเป็นควบคู่ไปกับดอกไม้ และช็อกโกแลต
หรือจะเป็นการด์อย่างเดียวก็ได้ เขียนความในใจตามแบบที่อยากให้คนที่ได้รับอ่านแล้วเข้าใจในทันที
แถมหาซื้อไม่ยากด้วย

4.
ตุ๊กตา



ไม่พลาดสำหรับสิ่งนี้คือ ตุ๊กตา เป็นสิ่งที่ให้กันได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว แต่พิเศษสําหรับวันแห่งความรัก
คงต้องเลือกสรรให้น่ารัก น่าประทับใจแทนความหมายได้ทุกอารมณ์แล้วแต่คุณจะหยิบแบบไหน อาจจะเป็นตุ๊กตาที่คนรุ้ใจชอบ หรืออาจจะเป็นฉายาของใครคนนั้นก็ตามแต่

5.ต้นไม้รูปหัวใจ



โอ๊ะโอ๋! รู้มั้ยว่า การมอบต้นไม้น่ะ แสนจะหวานเลยนะ เพราะสื่อความหมายว่า อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณและเขามั่นคง แตกหน่อเติบโตต่อไป หวานม่ะ! ถ้าคุณเป็นผู้ให้. . . บอกได้ว่าคุณเป็น คนสุภาพ อ่อนโยน ติดดิน และรักธรรมชาติ คุณอยากจะเป็นคนดูแล และชอบเอาอก เอาใจ คุณเป็นคนอ่อนหวาน ช่างฝัน โรแมนติก เรียบร้อย และคุณอยากจะบอกว่า ความรู้สึกของคุณนั้น จริงจังและทุ่มเทมาก ด้วยนะ
ถ้าคุณเป็นผู้รับ. . . คนให้มีความรู้สึก ที่จริงใจ และมั่นคงและอยากให้ ความสัมพันธ์เจริญเติบโต งอกงามเหมือนต้นไม้ นอกจากจะห่วงใยอาทรแล้ว ยังพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ ได้อีกด้วย บอกถึงนิสัย ผู้ให้ว่าเป็นคนจริงจัง หัวโบราณ แต่ก็มั่นคง อบอุ่น และน่ารัก แม้จะจืดไปบ้างเล็ก ๆ


6. แต่งเพลงรักสักเพลง



การแต่งเพลงรักและมอบให้คนรู้ใจในวันวาเลนไทน์นั้นก็ถือเป็นการแสดงออกถึงความรักอย่างหนึ่งที่แสดงออกและสื่อความหมายได้ดีเช่นกัน


7. เทียนหอม



มาแรงในหมู่หนุ่มสาวชาวไทย ที่สื่อได้ทั้งความหมายจากรูปทรงหัวใจ
และให้กลิ่นหอมชวนหลงใหลตามแต่ใครจะเลือกได้ถูกใจอีกฝ่ายแค่ไหน


8.จิวเวอร์ลี่

ของขวัญ วาเลนไทน์

ม่ว่าสาวคนไหนก็หลอมละลายทั้งนั้น ถ้ามีหนุ่มมาซื้อเพชร หรือจิวเวลรี่ให้เป็นของขวัญวาเลนไทน์
เพราะจะมีใครกล้าทุ่มทุนสร้างขนาดนี้ ถ้าไม่ได้รักจริงหวังแต่ง (ไม่นับพวกเสี่ยบุญทุ่ม)!! หนุ่มคนไหนกำลังมองหาของขวัญล้ำค่าประกายระยิบระยับแทนคำบอกรัก

ขอแนะนำให้เลือกเครื่องประดับเพชร หรือมุก เพราะสื่อถึงความอมตะ บริสุทธิ์ และรักนิรันดร์...ความหมายโดนใจมั่กๆ … และถ้ามีสลักคำว่า LOVE บนจิวเวลลี่ยิ่งโดนสุดๆ ...ว้าวๆๆ!!


9. ลูกแก้วโรแมนติก


ของขวัญสุดโรแมนติก สื่อความหมายแทนคำเป็นล้าน สร้างวันธรรมดาที่ควรจะผ่านไป ให้น่าจดจำด้วย "ลูกแก้วบอกรัก I LOVE You" . "ลูกแก้วโรแมนติก LOVE"



10. สร้อยรูปหัวใจ


สร้อยรูปหัวใจ หรือสร้อยตัวอักษรชื่อของคุณทั้ง2คน ทำให้คนทั้ง2คนรับรู้เป็นอย่างดีว่า เรายังมีกันและกันอยู่ กิ้วว

>>++10 อันดับสุดยอดที่กั้นหนังสือ(แปลกจริง ๆ )++<< <นส.พรนภา กุลประดิษฐ์ ม.5/6 เลขที่16>

>>++10 อันดับสุดยอดที่กั้นหนังสือ(แปลกจริง ๆ )++<<


ปกติเราเคยเห็นที่กั้นหนังสือแบบธรรมดาๆ เรียบๆ วันนี้เราจะพาไปชม 10 อันดับ สุดยอดที่กั้นหนังสือแบบเก๋ๆ ที่ทำให้ชั้นหนังสือของคุณดูเจิ่ดขึ้น!!!

อันดับที่ 10 Anubis Bookend

อันดับที่ 9 Men Pushing Bookends

อันดับที่ 8 Pinocchio Bookends

อันดับที่ 7 Reading Sophisticates Bookends

อันดับที่ 6 AVP Aliens vs. Predator Bookends

อันดับที่ 5 Vintage Book Bookends

อันดับที่ 4 Fish Bowls Bookends

อันดับที่ 3 Star Wars Trash Compactor Bookends

อันดับที่ 2 City Slickers Bookends

อันดับที่ 1 Voltron Bookends

ขอขอบคุณข้อมูล/ภาพประกอบจาก toptenthailand.com

ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2382158

"10 อันดับ ผู้หญิงที่สูงที่สุดในโลก" <นส.พรนภา กุลประดิษฐ์ ม.5/6 เลขที่16>

10 อันดับ ผู้หญิงที่สูงที่สุดในโลก


10. Heather Greene (6ft 5½in - 196 cm) - อยู่ที่ลาสเวกัส

วิธีทำให้สูง (สำหรับผู้อายุไม่เกิน25)

โดยจะสูงเดือนละ 1 เซนต์ หรือ 1ปี 1 เซนต์ก็ได้แล้วแต่กรรมพันธุ์ และอายุ

1.กระโดดเชือกวันละอย่างต่ำ 500 ครั้ง เช้าเย็น(กระโดดด้วยขาสองข้าง ไม่ใช่สลับขากระโดด)
2.ออกกำลังกายที่ทำให้ยืดตัวเช่นเล่นบาส โหนบาร์ หรืออะไรก็ได้ที่ต้องกระโดด
3.ดื่มนมวันละ 3 แก้ว ถึง 1 ลิตร สำหรับผู้ที่แพ้นมเช่น คน เชื้อสายจีนส่วนใหญ่ กิน นม สลับกับ นมถั่วเหลือง และกินโยเกิตเป็นประจำเพื่อให้ย่อยนมได้ดีขึ้น สำหรับผู้ที่ไม่แพ้นม ไม่จำเป็นต้องรับประทานโยเกิตหรือนมเปรี้ยวใดๆ
4.หมั่นพักผ่อนให้เพียง นอนวันละ 7-12 ชั่วโมงแล้วแต่ความพอเหมาะ ไม่ควรนอนเกิน 5 ทุ่ม ของทุกวัน ถ้านอนไม่หลับ ให้ทำสมาธิขณะนอนก็ได้ เพื่อให้หลับสนิทและลึกขึ้น
5.อย่าเครียดเป็นอันขาด หากเครียดแล้ว จะทำให้ฮอร์โมนออกมาได้น้อยลง
6.กินแคลเซียมเม็ด ตามแพทย์สั่ง และไม่ควรรับประทานเกินขนาด เนื่องจากรับประทานมากไปก็ไม่มีประโยชน์แถมมีโทษ เพราะแคลเซียมเม็ดส่วนใหญ่จะตกค้างจนก่อให้เกิดโรคนิ่ว หรือทำให้ไม่สูงอีก
7.รับประทานแคลเซียมที่ได้จากนมเป็นส่วนใหญ่ หรือจะรับประทานปลากรอบตัวเล็กๆก็ได้เช่นกัน
8.การออกกำลังกายควรวันละ 15 นาทีถึง 2 ชั่วโมง แล้วแต่ความพอเหมาะ ไม่ควรหักโหม เพราะถ้าหักโหมเกินไป พลังงานจะไม่พอที่จะทำให้สูงขึ้นได้
9.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ สารอาหาร 6 หมู่ วันละ 3 ถึง 4 มื้อ ไม่ควรเกินกว่านี้ และไม่น้อยกว่านี้
10. ไม่ควรให้ร่างกายขาดน้ำเป็นอันขาด
11.ไม่นั่งเล่นคอมพ์มากเกินไป ถ้าเล่นควรพักครั้งละ 30นาที-2 ชั่วโมง โดยเล่นไม่ควรติดต่อกันเกิน 3 ชั่วโมง ไม่เกิน 6 ชั่วโมงต่อวันถ้าท่านทำงานเกี่ยวกับคอม เพื่อพักและออกกำลังกาย ให้ผ่อนคลาย เส้นไม่ยึด
12.ไม่ดื่มน้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เนื่องจากในน้ำอัดลมมีกรดที่ทำให้กระดูกพรุน และแอลกอฮอล์ก็ทำให้ฮอร์โมนน้อยลง
13.ไม่ควรรับประทานยาชนิดใดๆติดต่อกันนานๆ เพราะอาจทำให้กระดูกพรุนได้ เช่น ยาแก้ปวดชนิดตางๆ
14.อย่ามัวแต่คิดว่าไม่มีทางสูง ทางที่ดีไม่ควรคิดอะไรเลย เนื่องจากร่างกายจะเปลี่ยนแปลงให้สูงได้นั้นจะขึ้นอยู่กับจิต เช่น ยีราฟที่ต้องการพัฒนาตัวเองให้กินใบไม้ที่อยู่สูงๆ ก็จะมีการพัฒนาให้ตัวเองสูงขึ้น เช่นเดียวกันถ้าเราพยายามกระโดดหรือเอื้อมหยิบของให้ถึงก็มีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ควรหักโหมเนื่องจากจะทำให้เข่าเสื่อมและไม่สูงอีก อีกทั้งจะได้โรคเข่าแถมมาด้วย


9. Rita Miniva Besa (6ft 8in -203 cm)


8. Caroline Welz (6ft 9in - 206 cm)

7. Malee Duangdee (6ft 10in - 208 cm) - อยู่ที่ประเทศไทย

6. Gitika Srivastava (6ft 11in - 211 cm) - นักกีฬาบาสเกตบอลของอินเดีย

5. Uljana Semjonova (7ft - 213 cm) - นักกีฬาบาสเกตบอลโลก ปี 1970 - ปี 1980

4. Zainab Bibi (7ft 2in - 218 cm) - ชาวปากีสถาน ได้รับอนุญาตให้อยู่ถาวรได้ที่อังกฤษ

3. Malgorzata Dydek (7ft 2in - 218 cm) - นักกีฬาบาสเกตบอลของอเมริกา

2. Sandy Allen (7ft 7¼in - 232 cm)

และ ที่ 1. Yao Defen ( 7ft 8in - 233 cm) - น้ำหนัก 200 ก.ก.


ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2383763

งานวิจัยธนาคารโลก ยกไทยขึ้นอันดับ 17 ประเทศน่าลงทุน [น.ส.นภัสวรรณ No.10 M.5/6]

งานวิจัยธนาคารโลก ยกไทยขึ้นอันดับ 17 ประเทศ

Doing Business 2012

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2554 ธนาคารโลกและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้ร่วมจัดการประชุมรับฟังการนำเสนอผลการวิจัยการจัดอันดับประเทศที่มีความสะดวกหรือความยากง่ายในการเข้าไปประกอบธุรกิจ ประจำปี 2555 (Doing Business 2012) ผ่านระบบ Video Conference จากกรุงวอชิงตัน ดีซี ณ ที่ทำการธนาคารโลก ประจำประเทศไทย

นายนีล เกรเกอร์รี่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์ตัวชี้วัดระดับสากลของธนาคารโลก ประจำกรุงวอชิงตัน ดี ซี ได้ชี้แจงถึงรายงานการจัดอันดับความสะดวกหรือความยากง่ายในการประกอบธุรกิจว่ามีตัวชี้วัดทั้งหมด 10 ด้าน ได้แก่ ความยากง่ายในการเริ่มต้นธุรกิจ การขออนุญาติก่อสร้าง การจดทะเบียนทรัพย์สิน การได้รับสินเชื่อ การคุ้มครองผู้ลงทุน การชำระภาษี การค้าระหว่างประเทศ การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง การปิดกิจการ และสุดท้ายคือความยากง่ายในการขอใช้ไฟฟ้า (Getting Electricity) ซึ่งเป็นดัชนีที่ถูกนำมาใช้ในปี 2012 นี้

ไทยขยับอันดับขึ้น จาก 19 เป็น 17

โดยผลการวิจัยประเทศที่มีความสะดวกในการเข้าไปประกอบธุรกิจ ประจำปี 2555 (Doing Business 2012) ซึ่งเป็นรายงานล่วงหน้า 1 ปี มีการเก็บข้อมูลการปรับปรุงบริการที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายน 2553 ถึงมิถุนายน 2554 มีประเทศที่ได้รับการประเมินทั้งหมด 183 ประเทศทั่วโลก ปรากฎว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการเข้าไปประกอบธุรกิจ อันดับที่ 17 ขยับสูงขึ้นจากปี 2554 ที่อยู่ในอันดับ 19 ยังคงสถานะการเป็นประเทศที่น่าลงทุน 20 อันดับแรก และอยู่ในลำดับที่ 3 ของประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก รองจากสิงคโปร์และฮ่องกง

อันดับประเทศไทยที่เลื่อนขึ้นมา เป็นผลจากการพัฒนาใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านเริ่มต้นธุรกิจจากอันดับที่ 98 มาอยู่ที่ 78 ด้านการได้รับสินเชื่อ จากอันดับที่ 72 มาอยู่ที่ 67 และด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง จากอันดับที่ 25 มาอยู่ที่ 24

การปรับปรุงสำคัญที่มีผลต่ออันดับของประเทศไทย ส่วนหนึ่งมาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร และสำนักงานประกันสังคม ที่ร่วมกันดำเนินโครงการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลการเริ่มต้นธุรกิจสู่หน่วยงานพันธมิตร (e-Starting Business) โดยปรับปรุงขั้นตอนการจดทะเบียนนิติบุคคล การขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร และเลขที่บัญชีนายจ้างให้สามารถดำเนินการได้ ณ จุดเดียว (Single Point) ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ขั้นตอนการจัดตั้งธุรกิจจาก 7 ขั้นตอน เหลือ 5 ขั้นตอน ระยะเวลาการจองชื่อนิติบุคคลลดลงจาก 2 วันเหลือ 60 นาทีและระยะเวลาการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรและเลขที่บัญชีนายจ้างลดลงจาก 4 วันเหลือ 60 นาที

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาไปสู่การใช้แบบฟอร์มร่วมกัน (Single Form) และการใช้เอกสารประกอบชุดเดียวกัน (Single Document) ส่งผลให้จำนวนแบบฟอร์มคำขอจาก 3 หน่วยงาน 3 แบบฟอร์ม ลดลงเหลือแบบฟอร์มเดียว และจำนวนเอกสารประกอบคำขอลดลงจาก 3 ชุด เหลือเพียง 1 ชุด ซึ่งมีผลให้การจดทะเบียนธุรกิจสะดวกและรวดเร็วขึ้น

และอีกด้านหนึ่งมาจากกระทรวงการคลังได้มีการปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการขอสินเชื่อเพื่อเพิ่มโอกาสในการกู้ยืมและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ให้สินเชื่อมากขึ้น การปรับปรุงทั้ง 2 เรื่อง ทำให้อันดับในด้านการเริ่มต้นธุรกิจและด้านการได้รับสินเชื่อดีขึ้นอย่างมาก

การจัดอันดับประเทศต่างๆในรายงาน Doing Business 2012 - ที่มา World Bank

สิงคโปร์ครองแชมป์ 6 ปีซ้อน จีนหล่นฮวบ

ส่วนผลการวิจัยในระดับโลกนั้นพบว่าสิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 1 ของการจัดอันดับความสะดวกในการประกอบธุรกิจเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ฮ่องกงอยู่ในอันดับที่ 2 ด้านเกาหลีขยับขึ้นจากอันดับที่ 16 มาอยู่ที่ 8 และมาเลเซียขยับขึ้นจากอันดับที่ 21 มาอยู่ที่ 18 ส่วนญี่ปุ่นอันดับลดลงจาก 18 มาอยู่ที่ 20 และจีนหล่นไปอยู่อันดับที่ 91 จาก 79

ภายหลังการแถลงผลการวิจัย นางแอนเน็ต ดิกสัน ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ใน 20 อันดับแรกของโลกในการจัดอันดับของรายงานความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ซึ่งการจัดอันดับนี้ เป็นสิ่งยืนยันถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของประเทศไทยและหากไทยยังต้องการที่จะรักษาตำแหน่งให้อยู่ในอันดับต้นๆเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไทยจะต้องมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะหากมีการหยุดพัฒนา จะสามารถเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นที่ใช้ความพยายามมากว่า แซงหน้าไปได้” โดยนางแอนเน็ตได้ยกตัวอย่างของประเทศจีน ที่ปัจจัยต่างๆในประเทศไม่ได้แย่ลง แต่มีอัตราการพัฒนาเพิ่มขึ้นน้อยกว่าประเทศอื่นๆโดยเปรียบเทียบ อันดับของจีนจึงตกลงอย่างเห็นได้ชัด

เละเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงนโยบายของรัฐบาลที่จะประกาศลดภาษีเงินได้นิติบุคคลในอนาคตว่า จะมีผลต่อสภาพแวดล้อมการลงทุนภายในประเทศหรือไม่ นางแอนเน็ตได้ตอบว่า “การปรับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในอนาคต มีผลให้การลงทุนมีบรรยากาศที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน”

ทางด้าน ดร. ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้แสดงความเห็นว่า “ธนาคารโลกได้รายงานว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น เป็นผลมาจากหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านเริ่มต้นธุรกิจและด้านการได้รับสินเชื่อ ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหรือระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการได้ลดขั้นตอนและเวลาในการดำเนินการ การให้บริการจึงมีประสิทธิภาพและสะดวกรวดเร็วขึ้น อันดับของไทยจึงดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว”

ธนาคารโลก ประจำประเทศไทย จากซ้าย ดร.กิริฎา เภาพิจิตร, นางแอนเน็ต ดิกสัน, ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์

ทั้งนี้ ธนาคารโลก (World Bank) ได้จัดทำรายงานผลการวิจัยเรื่อง Doing Business ซึ่งเป็นรายงานการจัดอันดับความยากง่ายในการเข้าไปประกอบธุรกิจของประเทศต่างๆทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2004 และเริ่มเข้ามาศึกษาในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2005 โดยเป็นการวิจัยแบบสำรวจความคิดเห็นของบริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ด้านบัญชี ผู้เชี่ยวชาญต่างๆและเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับขั้นตอนระยะเวลาการให้บริการ การอำนวยความสะดวก ต้นทุนค่าใช้จ่าย กฎหมายและกฎระเบียบต่างๆของรัฐ ว่ามีส่วนสนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจอย่างไร ซึ่งประกอบไปด้วยตัวชี้วัดในการสำรวจ 10 ด้าน ตามวงจรธุรกิจ ตั้งแต่การเริ่มธุรกิจไปจนถึงการปิดกิจการ



"10 เรื่องแปลกๆ วันวาเลนไทน์"<นส.พรนภา กุลประดิษฐ์ ม.5/6 เลขที่16>

10 เรื่องแปลกๆ วันวาเลนไทน์

วาเลนไทน์ ใกล้ จะมาถึงแล้ว เป็นบ้างจ๊ะสาวๆ ตื่นเต้นกันไหมเอ่ย คงจะต้องถามเฉพาะสาวๆ ที่มีคู่ หรือกำลังลุ้นว่าจะมีคู่ ส่วนคนที่เพิ่งอกหัก อาจจะเกลียดวันนี้เข้าไส้เลยก็ได้ T-T


(ภาพกำแพงในบ้านของจูเลียต ที่คู่รักจะนำกระดาษเขียนข้อความหวานๆ มาติดไว้)

เรื่องที่ 1: จดหมายถึงจูเลียต

เชื่อไหมว่า ทุกวันวาเลนไทน์ของทุกปี เมือง "เวโรนา"

ซึ่งเป็นเมืองของโรมิโอกับจูเลียต จะได้รับจดหมายกว่า 1 พันฉบับ

จ่าหน้าซองถึงจูเลียต! ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง Letters to Juliet

ก็จะพอนึกภาพกันออก ที่ผู้หญิงนิยมส่งจดหมายรักไปที่บ้านของจูเลียต

เพื่อปรึกษาปัญหารัก และขอพรให้รักของพวกเขาสมหวัง

เรื่องที่ 2: ของขวัญวาเลนไทน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

รู้ไหมว่าอะไรคือของขวัญวาเลนไทน์ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดเท่าที่โลกเคยมี…

เฉลย "ทัชมาฮาลไง" ของขวัญชิ้นนี้สร้างโดยพระราชาชาห์จาฮาน เพื่อเป็นอนุสรณ์

สถานตัวแทนความรักอันเป็นนิรันดร์ ที่พระองค์มีต่อพระมเหสี

ทัชมาฮาลเริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1634 และใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 22 ปี

ใช้แรงงานคนทั้งหมดสองหมื่นคนจากทั่วทั้งอินเดียและประเทศแถบนั้น



เรื่องที่ 3: คนที่ได้รับการ์ดวาเลนไทน์มากที่สุด

ลองเดากันดูว่า ใครจะได้รับการ์ดวาเลนไทน์มากที่สุด…

คุณครูนั่นเอง! ช็อกไหม…มีคนส่งการ์ดวาเลนไทน์หาครูจริงๆ รึ

ลำดับรองลงมาคือ บรรดาลูกที่ได้จากคุณพ่อคุณแม่, คุณแม่, แฟน และสัตว์เลี้ยง



เรื่องที่ 4: ความเชื่อวันวาเลนไทน์

เชื่อกันว่า ในวันวาเลนไทน์ ชื่อผู้ชายที่น้องๆ ผู้หญิง ได้ยินเป็นครั้งแรกของวัน

ไม่ว่าจะอ่านจากหนังสือพิมพ์ หรือได้ยินจากวิทยุ โทรทัศน์ จะเป็นชื่อของผู้ชาย

ที่น้องจะแต่งงานด้วยในอนาคต



เรื่องที่ 5: ความเชื่อเรื่องนก

ในยุคสมัยโบราณเลย เชื่อกันว่า ถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนกโรบินบินผ่าน

ศีรษะตัวเองในวันวาเลนไทน์ ก็จะได้แต่งงานกับทหารเรือ

และถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนกกระจอก จะได้แต่งงานกับคนจนแต่มี

ความสุขตลอดชีวิตการแต่งงาน หรือถ้าได้เห็นนกโกลฟินช์ ก็จะได้

แต่งงานกับเศรษฐี!

(แล้วถ้าได้เห็นนกกระจอกเทศล่ะ = =;)


เรื่องที่ 6: ช้อนแห่งความรัก

ในประเทศเวลส์ ผู้คนสมัยก่อนนิยมให้ช้อนแห่งความรักแก่คนรัก

ซึ่งเป็นช้อนไม้ที่แกะสลักลวดลายซับซ้อนแปลกตา

(สวยนะคนรับน่าจะกลัวมากว่าจะซึ้ง ก็หน้าตามันอย่างกับเครื่องรางกันผี)



เรื่องที่ 7: รายจ่าย!

โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ชายจะใช้เงินประมาณ 5 พันบาทสำหรับวันวาเลนไทน์ เพื่อให้

เป็นค่ำคืนที่พิเศษสุดสำหรับผู้หญิงที่เขารัก

(ใครได้ช็อคโกแลตขายในเซเว่นแท่งเดียวจากแฟนยกมือขึ้น! แถมแอบกัดไปแล้ว 1 คำ)


เรื่องที่ 8: วันวาเลนไทน์เมื่อ 700 ปีที่แล้ว

ผู้เชึ่ยวชาญเชื่อว่า วันวาเลนไทน์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความโรแมนติกเลยสักนิด

จนกระทั่งราวๆ ศตวรรษที่ 14 ก่อนหน้านี้วันวาเลนไทน์มีไว้สำหรับพิธีทาง

ศาสนาและสวดมนต์เพื่อนักบุญวาเลน ไทน์


เรื่องที่ 9: วันวาเลนไทน์โดนแบน!

บางศาสนาและในบางประเทศ แบนวันวาเลนไทน์! เพราะพวกเขาเชื่อว่า

มันกระตุ้นให้เกิดความลุ่มหลงราคะ โดยในปี 2002 และ 2008

ประเทศซาอุดิอาระเบีย แบนวันวาเลนไทน์แหละ



เรื่องที่ 10: ประเทศที่มีวันวาเลนไทน์เยอะที่สุดในโลก

ประเทศเกาหลีใต้! รู้ไหมว่า เกาหลีใต้มีวันแห่งความรักทุกเดือน!

แต่วันแห่งความรักที่สำคัญที่สุดอยู่ในเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน

ในเดือนกุมภาพันธ์ ผู้หญิงจะให้ขนมหวานกับผู้ชาย ส่วนในเดือนมีนาคม

ผู้ชายจะให้ของตอบแทน แต่ของขวัญนั้นจะไม่ใช่ขนมหรือช็อคโกแลต

และเดือนเมษายน จะมีวันที่เรียว่า "Black Day" หรือ "วันสีดำ"

สำหรับคนที่โดดเดี่ยวไร้เงาแฟน ไม่ได้ของขวัญจากใคร

จะมารวมตัวกินจาจังมยอน (บะหมี่ราดซอสดำ) ที่ร้านอาหารกัน

ส่วนใครที่ไม่ได้รับของขวัญวาเลนไทน์ก็อย่าเศร้าใจไปนะ ซื้อของขวัญให้พ่อแม่กันเลย

แล้วแนบการ์ดว่า อยากได้ของขวัญบ้าง อะไรบ้าง รับรองว่าวันต่อมา

จะได้ของขวัญถูกใจมาวางตรงหน้าแน่นอน! อย่าลืมว่า คนที่รักเราที่สุดในโลกนี้ ก็คือพ่อแม่ของเรานะคะ


ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2384205